รีวิวภาพยนตร์เรื่อง The Social Network
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นเพราะTheSocialNetworkโซเชียลเน็ตเวิร์คถูกสร้างจากข้อมูลแวดล้อมไม่ใช่ข้อมูลจากปากของมาร์คโดยตรง
หนังสร้างจากเรื่องจริง
เรื่องนี้จะทำให้ท่านได้รู้ถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจสมัยใหม่ของmarkzuckerbergมาร์คซัคเคอร์เบิร์กที่มีมูลค่าหลายล้านเหรียญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ระหว่างชมหนังเรื่องนี้คือ
Mark Zuckerberg คืออัจฉริยะที่สร้างเครือข่ายเชื่อมคนทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ คนๆเดียวที่เขาไม่สามารถจะเชื่อมถึงได้เลย และ ปล่อยปะละเลยมาตลอดก็คือ
Eduardo เพื่อนสนิทที่สุดที่อยู่ข้างกายเขาเสมอมาทั้งยามทุกข์และยามสุข
ทั้งยังคอยช่วยเหลือหาแหล่งเงินทุนให้เสมอเมื่อเริ่มสร้าง Facebook แต่เมื่อ
Mark ได้เจอ Sean ทำเหมือนว่าเขาลืมเพื่อนสนิทคนนี้ของเขาไป
และหันไปเชื่อในแผนการตลาดสุดห่ามของ Sean สะจนไม่ฟังใคร
ฉากที่น่าจดจำและส่วนตัวคิดว่าคือไคลแม็กซ์ที่สำคัญของเรื่องเรื่องก็คือ
ฉากที่ Eduardo กลับมาที่ออฟฟิตของ Facebook แล้วพบว่าหุ้นในบริษัทของตัวเองลดลงเพราะ
Mark และ Sean วางแผนไว้
ซึ่ง Eduardo ในอารมณ์ที่เชื่อเพื่อนสนิทอย่าง Mark มาตลอดแต่ถูกเพื่อนรักตอบแทนโดยวิธีการนี้
ด้วยอาการที่เกินจะทนได้เขาเดินไปหา Mark
และระเบิดอารมณ์ใส่จนถึงขั้นแตกหัก
ซึ่งนอกจากอารมณ์หนังที่บีบผู้ชมอย่างสุดๆแล้ว ด้านนักแสดงโดยเฉพาะ Andrew
Garfield ในบท Eduardo นั้นก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
ส่วนฉากจบของเรื่องนั้น
หนังเลือกจะปิดตัวลงโดยไม่บอกให้ผู้ชมรู้ว่า
Erica แฟนเก่าของ Mark นั้น
“ยอมรับ” เขาเป็นเพื่อนใน Facebook หรือไม่ แต่ที่แน่ๆก็คือ Erica ได้กลายมาเป็นสมาชิกของ Facebook เรียบร้อยแล้ว
ทั้งที่เจ้าตัวเคยประกาศลั่นกับ Mark ว่าไม่มีวันที่เธอจะเข้าไปยุ่งกับโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นมาเลย
สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมรู้สึกได้ในฉากนี้ก็คือตอนนี้ Erica ได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่ที่สำคัญคือเมื่อกล้องแพนมาที่ใบหน้าของ Mark ที่เพิ่งผ่านการสอบปากคำอย่างหนักหน่วงมาทั้งเรื่อง
แน่นอนครับไม่มีใครรู้ว่าในสมองของอัจฉริยะหนุ่มคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อตอนนี้ที่ Facebook กำลังสร้างเครือข่ายไปทั่วโลก
แต่ตัวผู้คิดค้นเองตอนนี้กลับไม่หลือใครเคียงข้างแม้แต่คนเดียว
ภาพแล็ปท็อปเครื่อเล็กตรงหน้า Mark ที่เปิดหน้าโปรแกรม Facebook ภายในห้องเงียบๆที่ปราศจากใครสักคน
กับใบหน้าของเขาที่กำลังคิดอะไรสักอย่างถือเป็นฉากจบที่ลงตัวและชวนให้คิดสะจริงๆ
Comments
Post a Comment